6 พิกัดเที่ยวญี่ปุ่น โอซาก้า โตเกียว ไปกี่รอบก็ยังหลงรัก
- วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)
- ศาลเจ้าเทพอินาริ (Fushimi Inari Shrine)
- ปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle)
- ริงกุ เอาท์เล็ท (Rinku Outlet)
- ชินไซบาชิ (Shinsaibashi)
- ตลาดคุโรมง (Kuromon Ichiba Market )
1.วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)
หรือที่เราๆรู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส นับเป็นวัดที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับจังหวัดเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นวัดที่พูดได้เลยว่าดังที่สุดในญี่ปุ่นก็ไม่ผิดเลยล่ะค่ะ เนื่องจากการที่วัดมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามชวนตะลึงจนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ซึ่งที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจากการที่วัดแห่งนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ. 780 แล้วได้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเองล่ะค่ะ จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่แค่การสร้างก็น่าทึ่งแล้ว เพราะการสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่สุดยอดเลยจริงๆ เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
2.ศาลเจ้าเทพอินาริ (伏見稲荷大社, Fushimi Inari Shrine)
ที่คนไทยทั้งหลายชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto) นั่งเองล่ะค่ะ ถ้าจะพูดว่าศาลเจ้าแห่งนี้ฮอตฮิตมากที่สุดก็ไม่ผิดเลยนะคะ เห็นได้จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ต่างๆจะต้องมีภาพของที่นี่ให้เห็นอยู่เสมอ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง
3.ปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle)
แลนด์มาร์กอันหนึ่งของเมืองโอซาก้าที่ไม่ว่าใครก็ต้องมาเยือนไม่อย่างนั้นเหมือนมาไม่ถึงเลยล่ะค่ะ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเมื่อมาเยือนยังเมืองโอซาก้าที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เฉพาะระดังขังหวัด แต่มีชื่อเสียงระดับประเทศเชียวนะคะ ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการของตัวปราสาทที่มีถึง 8 ชั้น ห้อมล้อมด้วยกำแพงหิน คูน้ำ ไปจนถึงสวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden)ที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ มองแล้วดูตัดกับความเป็นเมืองทันสมัยที่อยู่รายล้อมจากตึกอาคารทันสมัย ทำให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปราสาทโบราณที่หลุดเข้ามาในยุคปัจจุบันอย่างไงอย่างนั้น โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลินี่คนเยอะมากๆ เนื่องจากตัวสวนที่มีต้นซากุระมากกว่า 600 ต้นเวลาผลิบานพร้อมๆกันนี่นับว่าเป็นการเพิ่มระดับความงดงามขับให้ตัวปราสาททวีความงามที่แฝงความอ่อนหวานที่งามไม่เหมือนใคร
4.ริงกุ เอาท์เล็ท (Rinku Outlet)
เซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นตะวันตก ฝั่งตรงข้ามท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ มีสินค้าเเบรนด์ดังทั้งในประเทศแและต่างประเทศ, ร้านกีฬายอดนิยมกว่า 210 ร้าน ทั้งเสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องประดับ, เสื้อผ้าชายไปจนถึงเสื้อผ้าเด็ก, ของใช้ประจำวัน บรรยากาศสบายๆ ช็อปปิ้งได้อย่างหรูหราในราคาย่อมเยา นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีต่อเหล่าคุณแม่อย่าง รถเข็นเด็กให้ยืมและห้องให้นม และรองรับผู้พิการ ส่วนที่จอดรถสามารถรองรับได้ 2,900 คัน มีรถชัตเติ้ลบัสจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซบริการทุกวัน (เที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ 200 เยน, เด็กเล็ก 100 เยน)
5.ชินไซบาชิ (Shinsaibashi)
ตั้งอยู่ใกล้กับนัมบะและโดทงโบริ จุดท่องเที่ยวยอดนิยมในโอซาก้า ที่นี่มี ย่านร้านค้า ชินไซบาชิซุจิ (Shinsaibashsuji Shotengai) แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของโอซาก้าด้วยค่ะ
ย่านร้านค้าชินไซบาชิซุจิมีระยะทางทั้งหมด 600 เมตร หากรวมย่านร้านค้าอื่นๆ ที่อยู่หัวและท้ายด้วยก็จะกลายเป็นย่านร้านค้าที่มีความยาวราว 2 กิโลเมตรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นร้านขายยา ร้านขายเครื่องสำอาง ร้านปลอดภาษี (Duty Free) ร้าน 100 เยน ร้านคาแรคเตอร์ต่างๆ ไปจนถึงร้านอาหารและคาเฟ่มากมายก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่อยากได้จริงๆ
6. ตลาดคุโรมง (Kuromon Ichiba Market / 黒門市場)
เป็นตลาดสดเก่าแก่ของเมืองโอซาก้า (Osaka) ซึ่งเปิดมาตั้งแต่สมัยเมจิหรือเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ตลาดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ครัวของโอซาก้า’ โดยประกอบด้วยร้านต่างๆ กว่า 170 ร้านซึ่งตั้งเรียงกันอยู่สองข้างทางเดินระยะ 580 เมตร ทั้งร้านขายอาหารสด อาหารพร้อมทาน ผักผลไม้ และของใช้ต่างๆ
ตลาดคุโรมงเดิมมีชื่อว่า ตลาดเอ็นเมียวจิ (Enmyoji Market / 圓明寺市場) ซึ่งตั้งชื่อตามวัดที่อยู่ใกล้ๆ และวัดนี้มีประตูสีดำ จึงเรียกกันทั่วไปว่า ‘คุโรมง (Kuromon / 黒門)’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ประตูสีดำ’ นั่นเอง ทั้งนี้ตัววัดได้ถูกไฟไหม้ทำลายไปในปี ค.ศ. 1912 จึงเหลือเพียงตลาดเท่านั้น และปัจจุบันตลาดแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีผู้มาเยือนอย่างแน่นขนัดอยู่ตลอดทั้งวัน
เวลาทำการ:
9:00 – 18:00 น. (อาจแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน)